BASIC ART

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าผู้ที่ทำงานทางด้านศิลป์,การออก แบบต่างๆนั้นจะต้องมีความรู้พื้นทางทางด้านศิลป์ที่ค่อนข้างดีก่อน. ที่ผมพูดมานี้ก็หมายถึง ทษฎีศิลป์ นั้นเอง.แต่ผู้ที่ยังไม่มีความรู้ทางด้านนี้ก็มาเรียนรู้กันได้ครับ .ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีพื้นฐานทางศิลป์ที่ต่างกันดังนั้นเราควรมาเรียนรู้ปรับ พื้นฐานให้ตรงกันก่อนนะครับ.เคยสังเกตุคนที่มองงานศิลป์หรืองานออกแบบมั้ย ครับ.โดยส่วนตัวแล้วผมแบ่งคนพวกนี้ออกเป็น2พวกครับ..1 คนทั่วไป 2 คนที่มีความรู้ทางด้านศิลป์ แล้วมันต่างกันยังไง ผมจะแจงให้ฟังสั้นครับ. 1คนทั่วไป พวกนี้จะมองงานแค่เพียงสวยหรือไม่สวยด้วยสายตาโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการคิด อะไรที่มากนัก ซึ่งต่างกับพวกที่2 คือพวกมีของมีความรู้.พวกนี้สามารถแยกแยะ เส้น สี ความหมาย ที่สื่อออกมาหรือฟังชั่นการใช้งานต่างๆหรือมากไปกว่านั้นคือบอกถึงที่มาขั้น ตอนการผลิต ราคาวัสดุได้..เรียกได้ว่าขั้นเทพอะไรทำนองนั้น..ก็อย่างที่พูดแหละครับคน พวกนี้ต้องมีพื้นฐานที่ดี..พื้นที่ที่ดีนั้นก็คือ ทษฎีศิลป์ ซึ่งผมจะพูดในหัวข้อนี้ครับ. "ทฤษฎีศิลป์"

การออกแบบ DESIGN   คือ การใช้ความคิดของเรานี้แหละครับที่มุ่งแก้ไขปํญหาที่เกิดโดยเน้นที่จะตอบสนองความพึงพอใจของเราให้มากที่สุด..ก็โดยมีองค์ประกอบอยู่3ตัวหลักๆ คือ
1 ความงาม ASTHETIC    ซึ่งเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ทันทีและก็เป็นที่ชอบของคนทุกระดับ
2 ประโยชน์ใช้สอย FUNTION  ข้อนี้สำคัญครับในทุกการออกแบบมักจะตอบสนองการใช้งานของมนุษย์เป็นหลัก
3 แนวความคิด CONCEPT  มีคนเคยบอกไว้ว่างานออกแบบที่ดีควรมีคอนเซพหรือแรงบรรดาลใจ ถ้าไม่มีคอนเซพก็เหมือนงานยังไม่
เสร็จสมบรูณ์หรือไม่มีราคานั้นเอง. (คือต้องมีคอนเซพเอาไว้โม้หน่อยอะ.อิอิ)


ในบทนี้เรามาพูดถึง จุด เส้น รูปทรง สี ความหมายและอารมณ์ของมันกันครับ.



จุด Dot จุดเป็นองค์ประกอบที่มีขนาดเล็ก คุณสมบัติของมันก็คือเรียกร้องความสนใจได้ดี ใช้นำสายตา บอกตำแหน่ง
เส้น Line  คือการนำจุดมาเคลื่อนที่หรืองมาเรียงต่อกัน มีคุณสมบัติเด่นในการนำสายตา แบ่งขอบเขต นำสายตา กำหนดทิศทาง
เส้นตรง   ให้ความรู้สึกมั่นคงเป็นระเบียบ
เส้นนอน   ให้ความรู้สึกสงบนึ่งเรียบร้อย
เส้นเฉียง   ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง
เส้นโค้ง   ให้ความรู้สึกนิ่มนวล พลิ้วไหว
เส้นหยัก    ให้ความรู้สึกไม่เป็นระเบียบ อิสระ วุ่นวาย ซึ่งอยู่กับความถี่ของหยัก
เส้นเล็ก/บาง   ให้ความรู้สึกเบาเฉียบคม



รูปทรง Shape
  หรือรูปทรงเรขาคณิตอะครับเรามาว่ากันต่อเลยดีกว่า.

วงกลม Circle  ให้ความรู้ลึกดึงดูดเรียกร้องความสนใจเป็นศูนย์กลาง
สี่เหลี่ยม Square  ให้ความรู้สึกมั่นคง สงบ เป็นระัเบียบ สามารถจัดเป็นกลุ่มก้อนได้ลงตัว
สามเหลี่ยม Triangle  ให้ความรู้สึกมั่นคงหยุดนิ่งมุมทั้ง3ให้ความรู้สึกถึงทิศทาง ความเฉียบคม แรงพุ่งทะยาน
หกเหลี่ยม   ให้ความรู้สึกเชื่อมโยงถึงกันไม่สิ้นสุด
รูปทรงธรรมชาติ Organic  เป็นรูปร่างธรรมชาติให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวไม่ตายตัว


สี COLOUR

เราลองมาทบทวนกันดูครับ.เราเคยเรียนกันมาแล้วใน ชม.ศิลปะตอนเป็นเด็กลองดูกันนะครับ.จากรูป







ที่นี้เราลองมาดูกันครับว่าสีแต่ละสีให้ความรู้สึกอะไรกันบ้างครับ




สีแดง : ให้ความรู้สึกร้อน รุนแรง ท้าทาย ตื่นเต้น เร้าใจ มีพลัง ความรัก อันตราย
สีส้ม : ให้ความรู้สึกร้อน ความอบอุ่น สดใส มีชีวิตชีวา วัยรุ่น ความคึกคะนอง
สีเหลือง : ให้ความรู้สึกแจ่มใส สดใส ร่าเริง ความเบิกบานสดชื่น ชีวิตใหม่
สีทอง : ให้ความรู้สึกหรูหรา โอ่อ่า มีราคา สูงค่า เจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย
สีเขียว : ให้ความรู้สึกสงบ เงียบ สุขุม ร่มเย็น การพักผ่อน ธรรมชาติ ความสุข
สีน้ำเงิน : ให้ความรู้สึกสุขุม สุภาพ หนักแน่น เคร่งขรึม สง่างาม สูงศักดิ์ เป็นระเบียบ
สีม่วง : ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์ น่าติดตาม เร้นลับ มีอำนาจ ความรัก ความเศร้า
สีฟ้า : ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง กว้าง โปร่งใส สะอาด ปลอดภัย เสรีภาพ
สีชมพู : ให้ความรู้สึกอบอุ่น นุ่มนวล อ่อนหวาน ความรัก วัยรุ่น น่ารัก สดใส
สีขาว : ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ สะอาด อ่อนโยน  ปลอดภัย การเกิด ความรัก
สีเทา : ให้ความรู้สึกเศร้า อาลัย ท้อแท้ความหดหู่ ความสงบ สุภาพ สุขุม
สีดำ : ให้ความรู้สึกลึกลับ น่ากลัว มืด สกปรก หากเราใช้ในปริมาณที่เหมาะสมจะให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็น ลึกลับ น่าค้นหา

ทีนี้เราลองมาดูการใช้สีในการตกแต่งห้องกันนะครับผมมีรูปมาให้ดูครับ


รูปนี้เป็นการแตกแต่งห้องโดยใช้สีวรรณะร้อน



รูปนี้เป็นการแตกแต่งห้องโดยใช้สีวรรณะเย็น




รูปการใช้สีข้างเคียงในการจัดตกแต่งห้องครับ



รูปการใช้สีตรงข้ามในการจัดตกแต่งห้องครับ
 


รูปการใช้สีโมโนโทนในการตกแต่งห้องครับ. สีโมโนโทนคือการใช้สีสีเดียวแล้วไล่น้ำหนักอ่อนไปหาแก่ครับ..
มาถึงตรงนี้ก็หวังว่าผู้ที่ติดตามอ่านบทความผมมาคงพอจะได้ความรู้เกี่ยวกับทษฎีศิลป์ไปบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ.
ในบทความต่อผมจะพูดถึง STYLE การตกแต่งห้องครับ..



5 Style ในการตกแต่งห้อง

ในบทความนี้ผมก็จะพูดถึง Style การตกแต่งห้องที่เป็นที่นิยมและพบบ่อยมากนะครับซึ่งผมพอจะแบ่งออกมาเป็น 5 Style ครับ.ที่นี้เราลองมาดูกันนะครับว่าในแต่ละ style มีรูปแบบหรือลักษณะเฉพาะยังไงกันบ้าง..


1 CLASSIC STYLE  คลาสสิกค์ สไตล์
สำหรับคลาสสิกค์ สไตล์ นี้เราจะสังเกตุได้ง่ายครับ.คือมักมีลวดลายแบบกรีก โรมัน ซึ่งมีลวดลายที่ชดฉ้อยสวยงาม ดูมีราคามีคุณค่าสีที่พบบ่อยใน สไตล์ นี้ คือ สีทอง ส้ม เงิน ขาวครีม และน้ำตาล  TEXTURE ส่วนใหญ่ก็มีลักษณะมันวาวกำมะหยี่หรือไม้ที่มีลวดลายชอฉ้อย



2 COUNTRY STYLE คันทรี สไตล์
เรามักเห็นกันบ่อยๆครับ.ถ้าพูดถึงสไตล์นี้มันทำให้ผมนึงถึง ร้านอาหารเพื่อชีวิตครับ. รูปแบบของมันส่วนใหญ่ก็เป็นไปในแนวทางธรรมชาติ
เช่นลายดอกไม้ ข้าวของเครื่องใช้ก็จะเป็นการถักสารต่างๆ หรือการโชว์ลายไม้ ความดิบของวัสดุที่มาจากธรรมชาติแสดงให้เห็นถึงความอบอุ่น ความเป็นชนบท สีโดยส่วนใหญ่มักใช้สี ส้ม+แดง น้ำตาล เขียว เหลือง และขาว



3 CONTEMPORARY  STYLE คอนเทมโพรารี่ สไตล์
หรือการร่วมสมัย.เป็นการผสมผสานระหว่างเก่ากับใหม่เข้าด้วยกันไม่มีความสับซ้อนมากนัก เรียบง่าย ดูมีคุณค่า สงบผ่อนคลาย หรือเงียบขรึม ซึ่งอยู่ที่การผสมผสาน แต่จะไม่เน้นสีที่ฉูดฉาด TEXTURE โดยทั่วไปจะเป็นการผสมผสานกัน สีที่พบบ่อยก็จะเป็นแนวอบอุ่น
เช่น ครีมขาว เทาอ่อน เขียวอ่อน น้ำตาลอ่อน



4 MODERN  STYLE โมเดิร์น สไตล์
รูปแบบโดยทั่วไปเน้นความเรียบง่ายตัดทอนลายละเอียดหรือมีการผสมผสานลวดลายกราฟฟิค มีรูปทรงที่โค้งมนเน้นความสวยความล้ำสมัยมีรูปแบบการใช้งาน furniture ที่หลากหลายปรับเปลี่ยนได้โดยไม่ทำให้รู้สึกเบื่อ TEXTURE โดยทั่วไปเน้น เหล็กมันวาว กระจก พลาสติกสังเคราะห์ต่างๆ สีที่พบบ่อย. ขาวมัน ครีม เทา ดำ



5 MINIMALIST STYLE  มินิมอล์ลลิส สไตล์
เป็นสไตล์ที่นิยมมากในปัจจุบันเพราะว่าพื้นที่อยู่อาศัยของคนกรุงถูกบีบให้เหลือน้อยลงทำให้อาคารคอนโดฯอาร์พาทเมนต์มีเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้สไตล์มินิมอล์ลลิส เกิดขึ้นตามมาและเป็นที่นิยมก็เพราะว่าสไตล์นี้เน้นการใช้พื้นที่ที่คุมค่า furniture ทุกชิ้นมีการใช้งานหรือ funtion ที่หลากหลายปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลายรูปแบบ มีความเรียบง่ายไม่มีลายละเอียดหรือลวดลายที่ซับซ้อยเน้นการใช้งานและประหยัดพื้นที่ TEXTURE โดยทั่วไปก็เป็นไม้เทียม กระจก เหล็กเคลือบเงา อลูมิเนียม สีที่พบบ่อยก็เป็นสีเข้มแบบธรรมชาติหรือขาวที่ก่อให้เกิดความรู้สึกตรงข้ามกัน (หยินหย่าง).



ลักษณะเส้นต่างๆที่พบในงานแบบ.

ดังนั้นเราก็ควรรู้ถึงความหมายไว้เพื่อใช้งานต่างๆหรือใช้อ่านแบบได้อย่างถูกต้อง



1 เส้นขอบนอก border line เป็นเส้นที่ใช้เขียนขอบนอกหรือกรอบกระดาษในงานแบบซึ่งมีความหนามาก
2 เส้นภาพ object line เป็นเส้นที่ใช้เขียนวัตถุและรายละเอียดทั่วไปภายในแบบงานเป็นหนา
3 เส้นประ hidden line เป็นเส้นที่เขียนแทนส่วนที่ถูกบัง ถููกทับหรือส่วนที่มองไม่เห็นอยู่ภายใน,ส่วนรื้อถอน
4 เส้นศูนย์กลางและเส้นแกน center and axis line เป็นเส้นที่เขียนแบบเพื่อบอกระยะกึ่งกลางของวัตถุหรือรัศมีของวงกลม
5 เส้นบาง เป็นเส้นที่มีความบางกว่าเส้นหนา(เส้นภาพ) เพื่อใช้ในการฉายมายังเส้นมิติ เส้นแกน เส้นอ้างอิงจะใช้เส้นนี้
6 เส้นสลับฟันปลา zigzag line เป็นเส้นที่บอกช่วงของการตัดตอนหรือต่อเนื่องกันของวัตถุนั้นๆ
7 เส้นกำกับ เป็นเส้นเต็มบางโดยมีวงกลมอยู่ที่ปลายเส้น

ที่เราลองมาดูในงานเขียนแบบกันบ้างนะครับ.สำหรับคนที่ไม่รู้ถึงความหมายต่างๆที่แสดงอยู่ในงานเขียนแบบซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วงานแบบหรืองานเขียนแบบมักใช้สื่อสารกันระหว่างนักออกแบบกับเจ้าของงานหรือช่างในแขนงต่างๆ โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะมีรูปที่แสดงในงานเขียนแบบดังนี้

รูป View หมายถึงภาพของวัตถุที่แสดงให้ผู้มองเห็นในระนาบใดระนาบหนึ่งโดยระนาบนั้นๆตั้งฉากกับสายตา

ผัง Plan คือภาพที่มองลงมาจากทางด้านบน ในระนาบ 2มิติคือกว้าง*ยาว แต่ไม่มีความสูงหรือเรียก top viewก็ได้

รูปด้าน Elevation คือการมองวัตถุจากด้านข้างในระนาบ2มิติ โดยหลักๆก็มีอยู่ 4 ด้านคือ ด้านหน้า ซ้าย ขวา ด้านหลัง

รูปตัด Section คือการมุมมองที่ตัดส่วนใดส่วนหนึ่งของวัตถุเพื่อต้องการให้เห็นส่วนของวัตถุที่เราต้องการหรือสิ่งที่อยู่ด้านในของวัตถุและมองทะลุไปถึงด้านหลังของวัตถุ

ทัศนียภาพ Perspective คือภาพที่ถ่ายทอดมุมมองของการเห็นวัตถุจาก2มิติเป็น3มิติคือ กว้าง*ยาว*สูงและบรรยากาศโดยรวม

แบบร่าง Perliminary drawing คือแบบร่างของผู้ออกแบบเพื่อทำการแสดงแบบให้เจ้าของงานได้ดูโดยในแบบไม่มีรายละเอียดมากนักเพื่อความรวดเร็วในการนำเสนอแบบงาน

กระดาษที่ใช้กันมากในงานแสดงแบบ
กระดาษ ขนาด A4 ขนาด 210*297 มม.
กระดาษ ขนาด A3 ขนาด 297*420 มม.
กระดาษ ขนาด A2 ขนาด 420*594 มม.
กระดาษ ขนาด A1 ขนาด 594*841 มม.
กระดาษ ขนาด A0 ขนาด 841*1189 มม.



Human dimention (สัดส่วนมนุษย์)                                                              

 ในบทนี้เรามาดูรูปภาพ Human dimention (สัดส่วนมนุษย์) ซึ่งก็จะแสดงถึงข้อมูลความกว้าง ยาว ลึก ที่คนส่วนใหญ่ใช้ทำกิจกรรมต่างๆในพื้นที่หรือห้องต่างๆดูซิว่าความต้องการคนเราใช้พื้นที่เท่าไรกันนะครับ..เพื่อเป็นข้อมูลที่ใช้ประกอบในการออกแบบ..














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น